Walter-CD

สื่อกลางงประชาสัมพันธ์และความรู้

เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ปี 2025 วิกฤติเศรษฐกิจที่โลกจับตามอง

เพดานหนี้ของสหรัฐฯ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้งในปี 2025 เมื่อรัฐบาลต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการคลังที่อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเพิ่มหรือระงับเพดานหนี้ได้ทันเวลา สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ยังสร้างความวิตกกังวลในตลาดการเงินทั่วโลก

เพดานหนี้คืออะไร

เพดานหนี้ (Debt Ceiling) คือขีดจำกัดสูงสุดที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ สามารถกู้ยืมเงินได้ตามกฎหมาย เพื่อใช้ในการชำระหนี้และดำเนินกิจการของรัฐ หากถึงขีดจำกัดนี้และไม่มีการปรับเพิ่ม รัฐบาลจะไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มเติมได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรง

สถานการณ์ปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2025 เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ถูกกำหนดไว้ที่ 36.1 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากการระงับชั่วคราวตามพระราชบัญญัติ Fiscal Responsibility Act ปี 2023 สิ้นสุดลง ตั้งแต่นั้นมา กระทรวงการคลังได้ใช้มาตรการพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ แต่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้จนถึงกลางเดือนกรกฎาคมเท่านั้น

ความขัดแย้งทางการเมือง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เสนอร่างกฎหมาย “Big, Beautiful Bill” ซึ่งรวมถึงการเพิ่มเพดานหนี้อีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมกับการลดภาษีและการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั้งฝ่ายตรงข้ามและพันธมิตรทางการเมือง

อีลอน มัสก์ นักธุรกิจชื่อดัง ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายดังกล่าวว่าเป็น “ความน่ารังเกียจ” และเตือนว่าจะเพิ่มหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อย่างมหาศาล ในขณะที่วุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน จากพรรคเดโมแครต แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

หากสหรัฐฯ ไม่สามารถเพิ่มหรือระงับเพดานหนี้ได้ทันเวลา อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก อัตราดอกเบี้ยอาจพุ่งสูงขึ้น ตลาดหุ้นอาจเกิดความผันผวน และเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น

สรุปเนื้อหา

เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ในปี 2025 เป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้และนโยบายการคลังอื่น ๆ ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้น การหาทางออกที่สมดุลและยั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับโลก