Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Neuralink เปิดเผยความสำเร็จล่าสุดในการปลูกถ่ายชิปสมองให้กับผู้ป่วยรายที่สอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตสามารถควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัลได้ด้วยเพียงแค่ใช้ความคิด
นวัตกรรมชิปสมองเพื่อผู้ป่วยอัมพาต
Neuralink กำลังพัฒนาอุปกรณ์ที่มุ่งช่วยเหลือผู้ที่มีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โดยอุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ มีความสามารถในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ เช่น เล่นวิดีโอเกม ท่องอินเทอร์เน็ต และเลื่อนเคอร์เซอร์บนแล็ปท็อป ด้วยการคิดเพียงอย่างเดียว
ผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการปลูกถ่ายชิปนี้สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ป่วยรายที่สอง ซึ่งเป็นผู้ที่มีอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลังเช่นเดียวกัน ได้รับการปลูกถ่ายชิปที่มีอิเล็กโทรด 400 เส้นบนสมอง อุปกรณ์นี้ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการตรวจจับสัญญาณสมองได้ดีขึ้นด้วยการใช้อิเล็กโทรดทั้งหมด 1,024 ชิ้น
ความสำเร็จและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในพอดแคสต์ที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้ป่วยรายที่สอง โดยกล่าวว่าอิเล็กโทรดของชิปที่ปลูกถ่ายทำงานได้ดี และผู้ป่วยสามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่า Musk จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่ทำการผ่าตัด แต่เขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่าในปีนี้ Neuralink คาดว่าจะสามารถปลูกถ่ายชิปให้กับผู้ป่วยอีก 8 ราย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองทางคลินิก
ตัวอย่างที่น่าทึ่งจากผู้ป่วยรายแรก
Noland Arbaugh ผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับการปลูกถ่ายชิปจาก Neuralink ได้เล่าเรื่องราวการใช้อุปกรณ์นี้ผ่านพอดแคสต์ โดยก่อนหน้านี้เขาใช้แท่งไม้ในการควบคุมอุปกรณ์แท็บเล็ต แต่หลังจากการปลูกถ่ายชิป เขาสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้ด้วยความคิด ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นอิสระและลดความจำเป็นในการพึ่งพาผู้ดูแล
แม้ว่าหลังการผ่าตัดจะมีปัญหาเรื่องสายสัญญาณของชิป แต่ Neuralink ได้ปรับปรุงอุปกรณ์โดยการปรับอัลกอริทึมให้มีความไวต่อสัญญาณสมองมากขึ้น ทำให้ Arbaugh สามารถใช้งานชิปได้ดีขึ้นและสร้างสถิติโลกใหม่ในการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว
สรุปความก้าวหน้าของ Neuralink ในการช่วยเหลือผู้ป่วยอัมพาต
Neuralink กำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตสามารถควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัลได้ด้วยความคิด ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในการฟื้นฟูความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างอิสระของผู้ป่วย เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้แสดงถึงศักยภาพที่มีอยู่สูงในการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในอนาคต