SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการที่ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ โดยหวังว่าจะได้รับอันดับที่ดีและเพิ่มการเข้าถึงจากผู้ใช้งาน แต่แม้ว่าผู้ดูแลเว็บไซต์จะทำ SEO อย่างถูกต้องและปฏิบัติตามแนวทางของ Google กลับพบว่าเว็บไซต์นั้นไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดีตามที่คาดหวัง เหตุผลที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ Google ใช้ในการประเมินเว็บไซต์ ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำ SEO ที่ถูกต้องทั้งหมด
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ตามหลักเกณฑ์ของ Google กลับไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดี และปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา
1. การแข่งขันในตลาดที่สูง
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ถูกต้องไม่สามารถจัดอันดับได้ดี คือการมีการแข่งขันที่สูงในตลาดหรือคีย์เวิร์ดที่เว็บไซต์นั้นพยายามทำการจัดอันดับ สำหรับบางอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว, การเงิน, หรือการขายสินค้าออนไลน์ อาจมีเว็บไซต์จำนวนมากที่ทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพในคีย์เวิร์ดเดียวกัน การแข่งขันที่สูงนี้ทำให้การปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ต้องใช้เวลานานและความพยายามที่มากขึ้น แม้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะทำ SEO ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของ Google แต่เมื่อแข่งขันกับเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ก็อาจทำให้ได้รับอันดับที่ต่ำกว่า
2. ความสามารถในการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง
Google มุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่มีคุณค่ากับผู้ใช้ผ่านการจัดอันดับเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง และการทำ SEO ที่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่าจะได้รับอันดับที่ดีเสมอไปหากเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นๆ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ หรือไม่มีความลึกซึ้งและคุณค่ามากพอ
ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดีแต่มีเนื้อหาที่ไม่เพียงพอ ไม่มีการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง หรือไม่มีการให้ข้อมูลที่สามารถช่วยผู้ใช้ในทางปฏิบัติ จะมีโอกาสที่จะได้รับอันดับที่ไม่ดีแม้ว่าจะทำ SEO อย่างถูกต้องตามแนวทางของ Google เนื่องจาก Google มุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องและมีคุณภาพสูงสำหรับคำค้นหา
3. การอัปเดตของอัลกอริธึมของ Google
Google มีการอัปเดตอัลกอริธึมเป็นประจำ ซึ่งส่งผลให้การจัดอันดับเว็บไซต์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามการปรับเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในบางครั้ง แม้ว่าเว็บไซต์จะทำ SEO อย่างถูกต้อง แต่ก็อาจไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดีเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมที่ Google ทำขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนใน Google Core Update ที่ทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์บางแห่งลดลง
การอัปเดตอัลกอริธึมบางครั้งอาจมุ่งเน้นการตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหามากขึ้น หรือการลดอันดับของเว็บไซต์ที่มีการใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เป็นธรรม (Black Hat SEO) อย่างเช่น การใส่คำสำคัญมากเกินไป (Keyword Stuffing) หรือการสร้างลิงก์ย้อนกลับที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือไม่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ การที่ Google เปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ตามหลักเกณฑ์อาจไม่ได้รับอันดับที่ดีเสมอไป
4. ปัญหาในการใช้งานเว็บไซต์ (User Experience – UX)
แม้ว่าจะทำ SEO ได้ถูกต้อง แต่มันไม่สามารถรับประกันได้ว่าเว็บไซต์นั้นจะได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Google หากผู้ใช้งานไม่สามารถมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ได้ Google ให้ความสำคัญกับการให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงการโหลดเว็บไซต์ที่รวดเร็ว การออกแบบเว็บไซต์ที่รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile-friendly) และการมีการนำทางที่ง่ายและชัดเจน
หากเว็บไซต์ของคุณมีปัญหาในการใช้งาน เช่น การโหลดช้า การแสดงผลไม่ถูกต้องบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือการมีปุ่มลิงก์ที่ไม่สามารถคลิกได้ ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้รู้สึกไม่พอใจและออกจากเว็บไซต์เร็ว ซึ่งส่งผลให้ Google ไม่มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพในการให้บริการแก่ผู้ใช้ และอาจไม่ให้การจัดอันดับที่ดี
5. การขาดความน่าเชื่อถือ (E-A-T)
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์คือความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยและสุขภาพของผู้ใช้ เช่น เว็บไซต์ด้านการแพทย์ การเงิน หรือการกฎหมาย Google ให้ความสำคัญกับ E-A-T ซึ่งย่อมาจาก Expertise, Authoritativeness, and Trustworthiness หรือ ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจ เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน และมีความน่าเชื่อถือสูงจะได้รับการจัดอันดับที่ดี
หากเว็บไซต์ของคุณขาดความเชี่ยวชาญหรือไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือได้ Google ก็อาจจะไม่ให้การจัดอันดับที่ดี แม้ว่าจะทำ SEO อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ก็ตาม
6. ปัญหาทางเทคนิคและการตั้งค่าของเว็บไซต์
บางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์อาจมาจากปัญหาทางเทคนิค เช่น การตั้งค่าที่ไม่ถูกต้องของไฟล์ robots.txt หรือการใช้ rel=”noindex” โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้ Google ไม่สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ได้ หรือไม่สามารถจัดอันดับเว็บไซต์ได้ตามที่คาดหวัง การตั้งค่าผิดพลาดในส่วนของ XML sitemap หรือการไม่ตั้งค่าแถบการพัฒนาให้เหมาะสมกับ Google ก็สามารถทำให้เว็บไซต์ไม่ปรากฏในผลการค้นหาของ Google
7. ความล่าช้าในการเห็นผลจาก SEO
การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา แม้ว่าเว็บไซต์จะทำ SEO อย่างถูกต้อง คุณอาจจะต้องรอหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ เนื่องจาก Google ใช้เวลามากในการประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ ดังนั้น การคาดหวังผลลัพธ์ในระยะสั้นอาจทำให้ผู้ดูแลเว็บไซต์รู้สึกผิดหวังกับการไม่ได้รับอันดับที่ดีทันที
การทำ SEO อย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของ Google เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและปรากฏในผลการค้นหา แต่หลายปัจจัยที่กล่าวถึงข้างต้นสามารถส่งผลให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างถูกต้องไม่สามารถได้รับอันดับที่ดีจาก Google เช่น การแข่งขันที่สูงในตลาด, ความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ, การอัปเดตอัลกอริธึมของ Google, ปัญหาทางเทคนิค, และความล่าช้าในการเห็นผลจาก SEO ในบางกรณี
สิ่งสำคัญคือผู้ดูแลเว็บไซต์ต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่องและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของ Google และยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้